ฮอลแลน

ศึกฟุตบอลยูโร 2024 รอบ 16 ทีมสุดท้าย เนเธอร์แลนด์โชว์ฟอร์มเฉียบ อัด โรมาเนีย 3-0 ทะลุเข้ารอบ 8 ทีม

ศึกฟุตบอลยูโร 2024 รอบ 16 ทีมสุดท้าย: เนเธอร์แลนด์โชว์ฟอร์มเฉียบ อัด โรมาเนีย 3-0 ทะลุเข้ารอบ 8 ทีม

ในคืนวันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2567 ณ สนามอัลลิอันซ์ อารีน่า (Allianz Arena) เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ หรือ “อัศวินสีส้ม” ได้แสดงศักยภาพอันน่าเกรงขามด้วยการเอาชนะทีมชาติโรมาเนียไปอย่างขาดลอย 3-0 ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่งผลให้พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้ตามคาด

เกมนี้เริ่มต้นด้วยความคึกคักจากทั้งสองฝ่าย โดยเนเธอร์แลนด์เป็นฝ่ายได้ลุ้นประตูก่อนในนาทีที่ 6 จากลูกยิงไกลของ ซาฟี ซิมอนส์ (Xavi Simons) แต่ ฟลอริน นิตา (Florin Nita) ผู้รักษาประตูของโรมาเนียสามารถรับไว้ได้ ไม่นานหลังจากนั้น โรมาเนียก็ตอบโต้กลับมาบ้างในนาทีที่ 15 เมื่อ เดนนิส มาน ได้โอกาสยิงนอกกรอบเขตโทษ แต่บอลพุ่งข้ามคานไปเพียงนิดเดียว

อย่างไรก็ตาม เนเธอร์แลนด์ก็สามารถพังประตูขึ้นนำได้ในนาทีที่ 27 จากการทำประตูของ โกดี้ คักโป (Cody Gakpo) กองหน้าตัวเก่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเฉียบคมในการจบสกอร์ของเขา ทำให้ครึ่งแรกจบลงด้วยสกอร์ 1-0 ในเวลานั้น

ในครึ่งหลัง เนเธอร์แลนด์ยังคงรักษาแรงกดดันเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีโอกาสหลายครั้งที่จะเพิ่มสกอร์ ไม่ว่าจะเป็นลูกโหม่งของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (Virgil van dijk) ในนาทีที่ 58 ที่เฉียดเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย หรือจังหวะยิงไกลของ คักโป ในนาทีที่ 62 ที่ผู้รักษาประตูโรมาเนียต้องออกแรงเซฟอย่างเต็มที่

แม้ว่าจะมีประตูของ คักโป ที่ถูกยกเลิกไปเนื่องจาก VAR ตัดสินว่าเป็นจังหวะล้ำหน้า แต่เนเธอร์แลนด์ก็ไม่ย่อท้อ พวกเขายังคงเดินหน้าบุกอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในนาทีที่ 83 คักโป ก็ได้แสดงความสามารถอีกครั้งด้วยการเลี้ยงบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษก่อนจะจ่ายบอลให้ ดอนเยลล์ มาเลน ยิงเข้าไปอย่างเด็ดขาด เพิ่มสกอร์เป็น 2-0

ไม่พอเท่านั้น ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 90+3 มาเลน ก็ได้แสดงความสามารถส่วนตัวด้วยการพาบอลจากกลางสนามเข้าไปยิงประตูที่สองของเขาในเกมนี้ ปิดท้ายสกอร์ที่ 3-0 อย่างสวยงาม

ชัยชนะครั้งนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของทีมชาติเนเธอร์แลนด์เท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ โกดี้ คักโป ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้งการยิงประตูและการจ่ายบอล นอกจากนี้ ดอนเยลล์ มาเลน กองหน้าวัย 25 ปีจากสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำประตูด้วยการยิงสองลูกในเกมนี้

ด้วยผลงานอันน่าประทับใจนี้ ทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ ยูโร 2024 ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงความพร้อมในการไล่ล่าแชมป์ยูโร 2024 โดยพวกเขาจะเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้นในรอบต่อไป

สำหรับทีมชาติโรมาเนีย แม้ว่าจะพ่ายแพ้ในเกมนี้ แต่การได้ผ่านเข้ามาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายก็ถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ และเป็นประสบการณ์อันมีค่าสำหรับการพัฒนาทีมในอนาคต

ด้วยการแสดงศักยภาพอันน่าประทับใจเช่นนี้ แฟนบอลทั่วโลกต่างตั้งตารอที่จะได้เห็นการแข่งขันในรอบต่อไปของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ว่าพวกเขาจะสามารถรักษามาตรฐานการเล่นที่ยอดเยี่ยมนี้ไว้ได้หรือไม่ และจะสามารถก้าวไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้หรือไม่ในที่สุด

วันนี้ทางเรา จึงสรุปข่าวของทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ ยูโร 2024 มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ

ทีมชาติสเปนเอาชนะจอร์เจีย 4-1 ทะลุเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายยูโร 2024 พบเยอรมนี

ทีมชาติสเปนเอาชนะจอร์เจีย 4-1 ทะลุเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายยูโร 2024 พบเยอรมนี

สเปน โชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงถล่ม จอร์เจีย 4-1 ในศึกยูโร 2024 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่สนามในเมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้จะเสียประตูให้ตัวเองนำก่อน แต่ก็สามารถพลิกกลับมาเอาชนะได้อย่างสวยงาม ทำให้ทีมกระทิงดุผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยจะพบกับทีมเจ้าภาพอย่างเยอรมนีในวันศุกร์นี้

สเปนโชว์พลังยิงถล่มจอร์เจีย

แม้จะเสียประตูให้ตัวเองนำไปก่อนในช่วงต้นเกม แต่สเปนก็ไม่ได้ท้อถอย พวกเขายังคงเดินหน้าบุกอย่างหนักและสร้างโอกาสได้มากมาย โดยยิงไปถึง 17 ครั้งในครึ่งแรก ก่อนที่ โรดรี จะยิงประตูตีเสมอได้สำเร็จ

ในครึ่งหลัง สเปนเริ่มแสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่เหนือกว่า ฟาเบียน รุยซ์ โหม่งประตูขึ้นนำจากลูกครอสของ ลามีเน่ ยามาล ก่อนที่ นิโก้ วิลเลียมส์ (Nico Williams) จะซัดประตูที่สามจากจังหวะสวนกลับ และปิดท้ายด้วยประตูที่สี่จาก ดานี่ โอลโม่ (Dani Olmo) ส่งผลให้สเปนเอาชนะไปได้อย่างขาดลอย 4-1

สเปนโชว์ฟอร์มน่าประทับใจ

ทีมของ หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ (Luis De La Fuente) แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในการทำประตู ทั้งการยิงไกล การโหม่งจากลูกครอส การสวนกลับอย่างรวดเร็ว และการเล่นบอลสั้นผ่านแนวรับคู่ต่อสู้ ซึ่งแตกต่างจากทีมชาติสเปนในทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา ที่มักจะเน้นการครองบอลและเล่นบอลสั้นเพียงอย่างเดียว นักวิเคราะห์มองว่าสเปนชุดนี้มีความแตกต่างจากทีมชุดก่อนหน้า พวกเขาไม่ได้เน้นแค่การผ่านบอลเพื่อครองเกมเท่านั้น แต่ยังมีความคมในการจบสกอร์ด้วย ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ยูโร 2024 นักแทงบอลที่ต้องการความมั่นใจสามารถใช้บริการ เว็บแทงบอล คืนยอดเสีย ได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการแทง

เตรียมพบเยอรมนีในรอบ 8 ทีม

ชัยชนะในนัดนี้ทำให้สเปนผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยจะพบกับทีมเจ้าภาพอย่างเยอรมนี ในวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม เวลา 23.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ที่สนามในเมืองสตุ๊ตการ์ท ทั้งสองทีมต่างโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในศึก ยูโร 2024 ครั้งนี้ ทำให้แฟนบอลต่างตั้งตารอชมเกมนี้กันอย่างใจจดใจจ่อ โดยคาดว่าจะเป็นเกมที่สูสีและน่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดิมพัน การใช้บริการเว็บ แทงบอล คืนยอดเสีย เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพื่อรับประกันความคุ้มค่า

จอร์เจียอำลาทัวร์นาเมนต์

แม้จะพ่ายแพ้ในเกมนี้ แต่จอร์เจียก็สร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจในศึก ยูโร 2024 ครั้งนี้ โดยเฉพาะการเอาชนะโปรตุเกสในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลการแข่งขันที่น่าตกใจที่สุดของทัวร์นาเมนต์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของสเปนได้ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ก็ถือว่าสร้างผลงานได้เกินความคาดหมายแล้วสำหรับทีมที่เพิ่งผ่านเข้ารอบสุดท้ายยูโรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ยูโร 2024 จะดำเนินต่อไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 14 กรกฎาคม โดยแฟนบอลต่างจับตามองว่าทีมไหนจะคว้าแชมป์ไปครอง ซึ่งสเปนก็เป็นหนึ่งในตัวเต็งสำคัญหลังจากโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมล่าสุด ใครที่สนใจแทงบอลออนไลน์ควรพิจารณา เว็บแทงบอล คืนยอดเสีย เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนของตน

ฟุตบอล ยูโร 2024 ล่าสุด

มาร์โก มาเตรัซซี่ มั่นใจ อิตาลี มีโอกาสคว้าแชมป์ยูโร 2024 หากผ่าน สวิตเซอร์แลนด์ รอบ 16 ทีม

มาร์โก มาเตรัซซี่ (Marco Materazzi) ตำนานกองหลังชาวอิตาลี

ได้ให้สัมภาษณ์ในเชิงบวกเกี่ยวกับโอกาสของทีมชาติอิตาลีในการคว้าแชมป์ ฟุตบอล ยูโร 2024 ล่าสุด (UEFA Euro 2024) หากสามารถเอาชนะทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่จะพบกันในวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายนนี้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องง่ายและเตือนให้ทีมชาติอิตาลีระมัดระวังและเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่

ในรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอล ยูโร 2024 ล่าสุด (UEFA Euro 2024) ทีมชาติอิตาลีมีผลงานที่ไม่ค่อยคงเส้นคงวา

โดยพวกเขาทำสถิติชนะ 1 เสมอ 1 และแพ้ 1 มีทั้งหมด 4 คะแนน ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่ม บี และต้องพบกับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ที่สนามโอลิมเปีย สตาดิโอน (Olympiastadion) ในกรุงเบอร์ลิน (Berlin)

มาเตรัซซี่ (Materazzi) ผู้มีบทบาทสำคัญในการนำทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 (FIFA World Cup 2006) ที่เยอรมนี (Germany) กล่าวว่าทีมชาติอิตาลีมีโอกาสดีในการผ่านเข้าสู่รอบต่อไป แต่ก็เตือนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไม่ประมาท เนื่องจากในทัวร์นาเมนต์นี้ มีหลายชาติที่มีโอกาสคว้าแชมป์เช่นกัน

ปัจจุบันไม่มีทีมใดที่เป็นทีมเต็งอย่างชัดเจน และการเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ไม่ใช่เรื่องง่าย

มาเตรัซซี่ (Materazzi) กล่าว “มูรัต ยาคิน (Murat Yakin) เทรนเนอร์ของสวิส กำลังควบคุมทีมได้เป็นอย่างดี พวกเขามีนักเตะที่เล่นในลีกอิตาลี, เยอรมนี และอังกฤษ (England) ทีมนี้มีสมดุลที่ดีและประกอบด้วยนักเตะชั้นยอด รวมถึงผู้รักษาประตูที่มากประสบการณ์อย่างยานน์ ซอมเมอร์ (Yann Sommer) แม้สวิตเซอร์แลนด์จะถูกประเมินต่ำ แต่พวกเขามีความสามารถและประสบการณ์มาก”

มาเตรัซซี่ (Materazzi) ยังกล่าวถึงผลงานของทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ในเกมที่พบกับเยอรมนี (Germany) ซึ่งเสมอไป 1-1 โดยชี้ว่าพวกเขาเล่นด้วยความมั่นใจและเฉียบคม อย่างไรก็ตาม ตำนานกองหลังจากอินเตอร์ มิลาน (Inter Milan) ย้ำว่าสวิตเซอร์แลนด์ไม่ควรเป็นปัญหาสำหรับอิตาลี หากทีมชาติอิตาลีเล่นด้วยความตั้งใจและไม่ประมาท

ถ้าเราผ่านไปได้ ภารกิจต่อ ๆ ไปจะง่ายขึ้น แต่สำคัญที่สุดคืออย่าประมาท อย่าคิดว่ามันง่ายเกินไป

มาเตรัซซี่ กล่าว “เราต้องไม่มองข้ามคู่แข่ง เพราะมันอาจนำไปสู่ความยากลำบาก อย่างเช่นในปี 2006 ที่เราเจอกับเยอรมนี มันดูเหมือนง่าย แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย ตำนานกองหลังจาก “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน (Inter Milan) สรุปว่า การมุ่งมั่นและไม่หวังผลเกินไปคือกุญแจสำคัญในการแข่งขัน ฟุตบอล ยูโร 2024 ล่าสุด (UEFA Euro 2024) ครั้งนี้ ทุกทีมมีศักยภาพที่จะส่งผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา และอิตาลีก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมในทุกสถานการณ์

มาเตรัซซี่ (Materazzi) เน้นย้ำว่า การเตรียมความพร้อมและการไม่ประมาทคือกุญแจสำคัญสำหรับทีมชาติอิตาลีในการคว้าแชมป์ฟุตบอล ยูโร 2024 (UEFA Euro 2024) อีกครั้ง ในยุคที่เกมฟุตบอลเต็มไปด้วยทีมที่มีศักยภาพที่จะชนะในแต่ละแมตช์ ทีมชาติอิตาลีต้องระมัดระวังและมุ่งมั่นในทุกเกมเพื่อที่จะผ่านทุกด่านไปสู่การคว้าแชมป์ให้ได้

 

โครเอเชีย 1-1 อิตาลี ดราม่าท้ายเกมในศึกยูโร 2024

โครเอเชีย 1-1 อิตาลี ดราม่าท้ายเกมในศึกยูโร 2024

การเริ่มต้นเกมที่สูสี

นัดสุดท้ายของกลุ่ม B ในศึกฟุตบอล ยูโร 2024 ระหว่างโครเอเชียและอิตาลี จัดขึ้นที่สนามไลป์ซิก สเตเดี้ยม เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567 โดยทั้งสองทีมต่างต้องการชัยชนะเพื่อเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย
โครเอเชียเริ่มต้นได้ดีด้วยลูกยิงไกลของลูก้า ซูชิช ในนาทีที่ 5 แต่จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ผู้รักษาประตูอิตาลีสามารถรับไว้ได้ หลังจากนั้น อิตาลีเริ่มตั้งหลักและสร้างโอกาสผ่านมาเตโอ เรเตกี ในนาทีที่ 21
โอกาสทองของอิตาลีเกิดขึ้นในนาทีที่ 27 เมื่ออเลสซานโดร บาสโตนี่ ได้โขกบอลอย่างแม่นยำ แต่โดมินิค ลิวาโควิช ผู้รักษาประตูโครเอเชียยังสามารถป้องกันไว้ได้ จบครึ่งแรกทั้งสองทีมยังเสมอกัน 0-0

ดราม่าครึ่งหลัง

ความตื่นเต้นเกิดขึ้นในนาทีที่ 53 เมื่อโครเอเชียได้ลูกจุดโทษจากการทำแฮนด์บอลของดาวิเด้ ฟรัตเตซี่ แต่ลูก้า โมดริช กลับยิงพลาดโดนดอนนารุมม่าเซฟไว้ได้
อย่างไรก็ตาม โมดริชได้แก้ตัวในเวลาไม่นาน เมื่อเขาตามซ้ำลูกยิงของอันเต้ บูดิมีร์ที่โดนเซฟ ส่งให้โครเอเชียขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 54
อิตาลีไล่ตีเสมอนาทีสุดท้าย
อิตาลีพยายามเปิดเกมรุกอย่างหนักเพื่อตีเสมอ และมีโอกาสหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งนาทีที่ 90+8 ซึ่งเป็นนาทีสุดท้ายของเกม ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ผ่านบอลให้มัตเตีย ซัคคานญี่ ตัวสำรองยิงประตูสุดสวยตีเสมอ 1-1

ผลการแข่งขันและการเข้ารอบ

ในอีกคู่หนึ่งของกลุ่ม B สเปนเอาชนะแอลเบเนีย 1-0 ส่งผลให้สเปนเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ตามด้วยอิตาลีในฐานะรองแชมป์ ส่วนโครเอเชียจบอันดับสามและต้องลุ้นเข้ารอบในฐานะหนึ่งในทีมอันดับสามที่ดีที่สุด

รายชื่อผู้เล่นตัวจริง

โครเอเชีย (4-2-3-1):
* ผู้รักษาประตู: โดมินิค ลิวาโควิช
* กองหลัง: สตานิชิช, ชูตาโล่, ปอนกราชิช, กวาร์ดิโอล
* กองกลาง: โมดริช (กัปตัน), โบรโซวิช, โควาชิช
* กองหน้า: ซูชิช, ปาชาลิช, ครามาริช
อิตาลี (4-3-3):
* ผู้รักษาประตู: ดอนนารุมม่า (กัปตัน)
* กองหลัง: ดิ ลอเรนโซ่, บาสโตนี่, คาลาฟิออรี่, ดาร์เมียน
* กองกลาง: บาเรลล่า, จอร์จินโญ่
* กองหน้า: ราสปาโดรี่, เปลเลกรินี่, ดิมาร์โก, เรเตกี
เกมนี้จบลงด้วยความตื่นเต้นในนาทีสุดท้าย แสดงให้เห็นถึงความดุเดือดของการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มของ ยูโร 2024 โดยทั้งสองทีมต่างแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและทักษะระดับสูงตลอดการแข่งขัน

สำหรับแฟนบอลที่สนใจ วิธีแทงบอลสเต็ป การแข่งขันรอบน็อคเอาท์ที่กำลังจะมาถึงนี้อาจเป็นโอกาสดีในการใช้กลยุทธ์นี้ วิธีแทงบอลสเต็ป สามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน ผู้เล่นควรศึกษา วิธีแทงบอลสเต็ป ให้เข้าใจก่อนตัดสินใจ และควรเล่นอย่างมีความรับผิดชอบ

นิว มาราโดน่า ใครเคยได้รับชื่อนี้กันบ้าง

หากใครเคยได้เล่นเกมคุมทีมข้างสนามชื่อดังอย่าง CM หรือ FM คำที่ต้องหาให้เจอเวลาจะซื้อนักเตะโนเนมสักคนที่เป็นดาวรุ่งก็คือคำว่า นิว…. แล้วตามด้วยคนนั้นคนนี้มากมาย ในชีวิตจริงสื่อเองก็มีการตั้งฉายาว่านิวคนนั้นคนนี้ด้วยเหมือนกัน มาราโดน่า เองก็ถูกเอาชื่อไปตั้งเป็นนิว..ให้กับนักเตะหลายคน บางคนก็ดี แต่บางคนก็ไม่ วันนี้เราขอคัดมาสัก 3 ชื่อที่คนดูบอลรุ่นใหม่ รุ่นเก่า พอจะคุ้นหูอยู่บ้าง

ฮวน โรมัน ริเกลเม่

คนแรกเชื่อว่าแฟนบอลยุค 90 น่าจะคุ้นหูกันอย่างดี เพลย์เมกเกอร์ที่มีความคล่องตัว ฉลาด และ เจ้าเล่ห์แสนกลพร้อมจะปั่นหัวฝ่ายตรงข้ามด้วยฟุตบอลจนเล่นไม่ออกกันมาแล้ว ริเกลเม่ มีช่วงเวลาที่เหมือนกับมาราโดน่า ตรงที่ทั้งคู่เคยมาเล่นสีเสื้อบาร์เซโลน่าด้วยเหมือนกัน แต่ว่าความสำเร็จแตกต่างกัน ริเกลเม่ กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร จนต้องย้ายออกไปเล่นให้กับ บียาร์เรอัล แล้วก็ประสบความสำเร็จที่นั่นมากกว่า ก่อนจะย้ายไปดังในบ้านเกิดกับ โบค่า จูเนียร์อีกรอบหนึ่ง จนทำให้เค้าได้รับโอกาสสร้างเป็นรูปปั้นหน้าสนามเป็นเกียรติเคียงคู่กับ มาราโดน่าอีกด้วย

คาร์ลอส เตเบซ

จริงๆมีอีกหลายคนมาก แต่เราขอคัดชื่อคนที่ใกล้เคียงมาหน่อยจะได้คุ้นหูกัน คาร์ลอส เตเบซ มีความเหมือนในเรื่องของรูปร่าง  ความคล่องตัว และการเล่นด้วยหัวจิตหัวใจที่ห้าวหาญไม่ยอมแพ้แบบนักเตะอาร์เจนติน่าอย่างแท้จริง การเล่นของเค้ามีทั้งเทคนิค และ แท็คติคในคนเดียวกัน แต่ความสำเร็จในเส้นทางอาชีพ เตเบซ เองก็ประสบความสำเร็จด้วยเหมือนกัน แต่อาจจะไม่เท่า มาราโดน่า สักเท่าไร

ลิโอเนล เมสซี่

หากจะถามว่าใครที่ได้รับความนิว มาราโดน่า แล้วใกล้เคียงที่สุด ก็คงต้องเป็นลิโอเนล เมสซี่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างเตี้ย แข็งแรง คล่องตัว เลี้ยงบอลจนเหมือนติดกับเท้าตัวเอง ประสบความสำเร็จในเกมสโมสรตลอด 15 ปี แม้แต่ มาราโดน่า เองก็เคยบอกว่า เมสซี่ ก้าวข้ามเค้าไปแล้วด้วยซ้ำไป เหลือเพียงอย่างเดียวที่ เมสซี่ จะทำได้เพื่อทาบ มาราโดน่า นั่นก็คือ การคว้าแชมป์โลกหรืออย่างน้อย แชมป์ระดับทวีปให้กับทีมชาติให้ได้สักครั้งหนึ่ง

เอดินสัน คาวานี่ จะไปออกที่แบบไหน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้ว่าการเข้ามาของ ฟานเดอ บีค จะทำให้แฟนแมนยูได้ชื่นใจบ้าง อีกหนึ่งดีลที่หลายคนอาจจะมองว่า แพนิคบาย ซื้อแบบตื่นตูม แต่ไม่ว่ายังไงดีลมันก็เกิดขึ้นแล้ว แฟนบอลก็คงต้องให้กำลังใจกันต่อไป ก็คือ เอดินสัน คาวานี่ การเข้ามาของเค้ามีการทำนายไว้ว่า จะเป็นไปในรูปแบบไหน โดยมีต้นแบบอยู่สองคน ดังนี้

ราดาเมล ฟัลเกา

เจ้าของดาวยิง ฉายา เอลติเกร มาร่วมทีมแบบยืมตัว ในอายุ 28 ปี อายุยังไม่เยอะมากแต่ความเสี่ยงก็คือเรื่องอาการบาดเจ็บร้ายแรงระดับพักครึ่งปีที่เจ้าตัวเพิ่งหายมา นั่นทำให้เราคิดว่าจะไหวไหม สุดท้ายก็ไม่ไหวจริง ยิ่งมาเจอการบีบบอลเร็ว เล่นหนักสไตล์พรีเมียร์ลีคเข้าไปทุกอย่างจบเลย ทำผลงานไปเพียงแค่ 4 ประตูจากการลงสนาม 29 นัด จนต้องออกจากทีมไปอยู่กับเชลซี(ล้มเหลว) แล้วกลับไปโมนาโก กลับมาเล่นดีอีกครั้ง ก็หวังว่า คาวานี่ คงจะไม่จบลงแบบเคสนี้ ส่วนหนึ่งที่ว่าไม่เป็นเพราะว่า คาวานี่ ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บรบกวนเท่าไรนัก ร่างกายยังดีอยู่ แต่จะมาเจ็บเพิ่มเติมที่พรีเมียร์ลีคหรือไม่อันนี้ก็ไม่รู้

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

อีกหนึ่งดาวเตะอายุมากแล้วย้ายมาประสบความสำเร็จ สร้างอิมแพ็คให้กับทีมอย่างมาก จนหลายคนอยากให้ คาวานี่ ทำได้แบบเค้า หรืออย่างน้อย สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี เล่าย้อนกลับไป อิบรา มาเล่นให้ แมนยู ในวัย 35 ปี ที่หลายคนคิดตรงกันว่า แม้จะเป็นพระเจ้ากับลีคอื่น แต่มาเล่นพรีเมียร์ลีคไม่น่าไหว สุดท้าย พระเจ้าก็แสดงให้เห็นว่าเค้าคือพระเจ้าอย่างแท้จริง เล่นซีซั่นแรกทำไป 28 ประตู ก่อนจะบาดเจ็บพอหายกลับมา(ก่อนกำหนด) เล่นไปเพียงแค่ 7 เกมเท่านั้น ยิงได้ 1 ประตู ความน่าเสียดายเกิดขึ้นที่แมนยูขอยกเลิกสัญญาไปเพราะว่า อิบรา ไม่น่าจะไหวแล้ว สุดท้ายพระเจ้าก็แสดงให้เห็นว่า เค้าไปเล่นที่ไหนก็ยังไหวอยู่จนถึงตอนนี้ น่าเสียดายอย่างยิ่ง หวังว่าคาวานี่ จะสามารถกลายเป็นนักเตะที่มีทั้งความเก๋า ประสบการณ์ ความแข็งแกร่ง และเป็นผู้นำในห้องแต่งตัวที่แข็งแกร่งจนเป็นพี่ใหญ่ของน้องๆได้เหมือนกับ อิบรา

เก็บตกประเด็น สิงห์เขี่ย รีล มาดริด เข้าชิง

 

ถือว่าสมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง สำหรับ เชลซี ที่พวกเค้าสามารถเขี่ย รีล มาดริด ตกรอบไปด้วยสกอร์รวม 3-1 เกมนี้ยอมรับตามตรงว่า สิงห์บลู เชลซี เหนือกว่าด้วยประการทั้งปวง รีล มาดริด ของซีดานอาจจะต้องกลับไปเตรียมตัวมาใหม่ในซีซั่นหน้า ก่อนจะไปว่ากันเรื่องรอบชิง เรามาเก็บตกประเด็นนี่กัน

แวร์เนอร์ มีดีกว่าที่คิด

ติโม แวร์เนอร์ ถือว่าเป็นนักเตะที่น่าเห็นใจมาก เพราะว่าตลอดซีซั่นนี้ เค้าโดนถากถาง วิจารณ์ ฟอร์มการเล่นแทบจะทั้งซีซั่นเลย ส่วนหนึ่งเพราะว่าฟอร์มของเค้าก่อนหน้านี้ตอนอยู่กับ แอร์เบ ไลป์ซิก ยิงกระจาย เป็นตัวหลักของทีมเลย พอมาตรงนี้หลายคนก็หวังจะให้ทำแบบนั้นอีก แต่สุดท้ายแม้ว่าเค้าจะไม่ได้ยิงกระจายเหมือนตอนเล่นให้กับ ไลป์ซิก เค้าก็ทำประโยชน์ให้กับทีมได้เหมือนกัน เกมนี้เองก็เช่นกัน เค้าทำได้หนึ่งประตู พร้อมกับป่วนกองหลังรีล มาดริด ต้องวิ่งตามจนขาลากทีเดียว

กองเต้ อีกแล้ว

เกมนี้หลังจบเกม เราได้เห็นภาพที่คุ้นเคยอีกครั้ง ก็คือการได้ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกมนี้ของ เอ็นโกโล่ กองเต้ ผู้ที่ได้รับฉายาว่า ทุกพื้นที่มีแต่กองเต้ เกมนี้เค้าก็แสดงให้เห็นแบบนั้นอีกครั้ง การวิ่งปิดพื้นที่ทุกครั้งของการบุก รีล มาดริด เป็นคำตอบที่แทนทุกอย่างแล้ว แผงกองกลางของรีล มาดริด ที่บุกไม่ขึ้นก็ได้กองเต้นี่แหละ สกัด ปั่นป่วน และทำลายจังหวะ จนแทบต่อเกมกันไม่ติด เบนเซม่า กองหน้าของรีล มาดริด ได้แต่ล้วงบอลต่ำ ถ้าทำแบบนั้นก็เสร็จ ซิลวาที่รอดักอยู่

โอกาสเยอะ แต่ทิ้งขว้างไป

สิ่งหนึ่งที่ ผู้เล่น เชลซี อาจจะต้องกลับไปทำการบ้านมาให้ดีกว่านี้ก็คือ โอกาสการเข้าทำประตูของเชลซี ที่สถิติหลังเกมบอกว่า พวกเค้ายิงมากถึง 15 ครั้ง แต่เข้ากรอบเพียงแค่ 5 ครั้ง เท่านั้นเอง ถือว่าน้อยเกินไป รวมถึงโอกาสจังๆอีกหลายครั้งที่บอกตามตรงว่ามันต้องดีกว่านี้คมกว่านี้ หากหวังจะซิวแชมป์ UCL ให้ได้ เกมนัดชิงกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้มันคงสนุกน่าดู

อะไรทำให้แฟนผี เลือกประท้วงวันนี้

อะไรทำให้แฟนผี เลือกประท้วงวันนี้

ถือว่าเป็นข่าวฮือฮามากพอสมควรทีเดียว จากสถานการณ์การประท้วงต่อเจ้าของทีมอย่าง ตระกูลเกลเซอร์ ของแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พวกเค้าเลือกกระทำการที่ต้องใช้คำว่า อุกอาจ และเหนือความคาดหมายมากทีเดียว กับการเข้าไปถึงสนามแข่งในวันแข่งขันที่มีคนรอคอยมากที่สุดในโลกอย่าง เกมแดงเดือด อะไรทำให้แฟนผีเลือกที่จะประท้วงในวันนี้

เป็นข่าวมากที่สุด

คำว่า แย่งชิงพื้นที่สื่อ น่าจะเป็นสิ่งที่กลุ่มแฟนบอลกลุ่มนี้ต้องการ พวกเค้าต้องการให้วิธีประท้วงของพวกเค้ากลายเป็นข่าวพาดหัวไปทั่วโลกในฝั่งข่าวกีฬา ที่ต้องการแบบนี้ก็เพื่อจะกระจายข้อความที่พวกเค้าต้องการจะสื่อออกไปให้ไกลและดังที่สุดว่า พวกเค้าต้องการให้ตระกูลเกลเซอร์ ขายทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกไป บวกกับเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้เกิดการบังคับขายไปยังตระกูลเกลเซอร์ด้วย แฟนบอลคงหวังให้ภาพดังกล่าวกระทบต่อภาพลักษณ์และราคาหุ้นของสโมสรที่จะตกลงจนทำให้ตระกูลเกลเซอร์ต้องเลือกขายทีม

เหนือความคาดหมายมากที่สุด

สองเลือกที่จะลงมือกระทำในวันนี้ เราเชื่อว่าการประท้วงแบบนี้ในเกมวันแดงเดือด คงเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายมากที่สุดเช่นกัน เนื่องจากเกมแดงเดือดนัดนี้เป็นเกมที่คนรอคอยดูมากที่สุดแล้ว บวกกับเกมแดงเดือดนัดนี้น่าจะเป็นโอกาสดีในหลายเกมที่แมนยูจะบุกยัดความปราชัยให้กับลิเวอร์พูลได้ จนทำให้ซีซั่นนี้พวกเค้าทำให้ลิเวอร์พูลไม่สามารถชนะพวกเค้าได้เลยในการเจอกันสามครั้ง (ลีคสอง เอฟเอคัพหนึ่ง) การลงมือไม่ให้เกมนี้มันเกิดจึงเหนือความคาดหมายของฝ่ายรักษาความปลอดภัยมาก

สร้างความเสียหายมากที่สุด

การประท้วงในครั้งนี้ ต้องยอมรับว่ามันสร้างความเสียหายมากที่สุด แบบที่ประเมินตัวเลขแล้วยังต้องตกใจเลย เอาแค่เรื่องเลื่อนแข่ง ก็แทบจะหาวันลงแข่งใหม่ไม่ได้แล้ว นี่ยังไม่นับเรื่อค่าเสียหายจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดที่ไม่ได้ถ่ายอีก นี่เรายังไม่ได้พูดถึงการโดนตัดแต้มจากฝ่ายจัดการแข่งขัน ซึ่งอาจจะทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากที่จะจบซีซั่นด้วยตำแหน่งรองแชมป์ อยู่ดีๆ อาจจะร่วงยาวไปอันดับสี่หรือห้าได้เลย ถือว่าเป็นการสร้างความเสียหายที่รุนแรงมากจริงๆ

คาดเดา แท็คติค เกมกับไลป์ซิก

คาดเดา แท็คติค เกมกับไลป์ซิก

ถือว่าเป็นอีกเกมหนึ่งที่ความสำคัญมากในช่วงนี้ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะว่าเป็นเกมชี้ชะตาที่อยู่ในมือตัวเองเท่านั้นจะอยู่หรือไปในเส้นทางบนถ้วยใบนี้ต่อไปเท่านั้น เรื่องของแท็คติคเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่ามันเป็นตัวบอกว่า โซลชาร์ จะทำได้ดีแค่ไหน มาคาดเดาว่า เค้าจะมาไม้ไหน

3-5-2 ต้องมาเท่านั้น

เกมที่มีความสำคัญระดับนี้ เรื่องเกมรับต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก เชื่อว่าแท็คติคที่จะหยิบขึ้นมาใช้ต้องเน้นกองหลังไว้ก่อน เจาะจงลงไป ฟอร์เมชั่น 3-5-2 ต้องมาแล้ว เพราะว่าฟอร์เมชั่นตัวนี้ใช้ได้ผลดีในเกมแรกที่เจอกัน แต่คำถามก็คือว่าฟอร์เมชั่นเน้นเกมรับอย่างนี้ ไลป์ซิก จะตกใจแบบเดิมหรือไม่ ถ้าไม่ตกใจบอกเลยว่า พวกเค้าก็คงเตรียมตัวแก้เกมมาดีเหมือนกัน

หนูแม็ค + ตวนเซเบ้ มดงานผู้แข็งแกร่ง

กลางรุก เราเชื่อว่าบรูโน่ คงลงมาเป็นตัวหลักผสานกับ ป็อกบา หรือ ฟานเดอบีค คนใดคนหนึ่ง แต่ว่าในส่วนของเกมรับ แท็คติคเอากองกลางพลังไดนาโมมาสักคนเพื่อวิ่งพล่านทำลายเกมรุกของฝ่ายตรงข้าม เรามองว่าสูตรนี้น่าจะเป็น สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ไว้ก่อน หนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยพลังงานล้นปรี่น่าจะดีพอตัดเกม เกะกะ ก่อกวน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นยาก

เกมสวนกลับ ทางเลือกที่ 2

สวนกลับเป็นอาวุธเดียวที่เรามองเห็นในตอนนี้ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สูตรแรกคงต้องเป็น บรูโน่ คอยทิ้งบอลยาวแบบคิลเลอร์พาสให้กับ แรชฟอร์ด วิ่งควบไปเล่น แต่อีกสูตรหนึ่งน่าจะมีเกมสวนกลับทางเลือกที่สองด้วย ตรงนี้น่าจะเป็นแท็คติคของป็อกบา ที่จะเป็นการวางบอลยาวอีกรูปแบบหนึ่งที่จะทำให้กองกลางของ ปารีส ไม่รู้จะเลือกประกบใครดี

ข้ามกองกลาง

เรามองว่าเกมนี้ ทางฝั่ง ปารีส เองก็คงเตรียมหาทางปิดเกมรุกของแมนยู โดยปิดไปที่จุดกำเนิดของทั้งหมดอย่าง บรูโน่ ไว้ก่อน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แท็คติคเสริมตรงนี้น่าจะเป็นการปล่อยบทบาทให้ ป็อกบา มาทำเกมแดนกลางแบบวางบอลยาวข้ามกองกลางไปเลย ก็ต้องดูว่าแท็คติคเหล่านี้จะทำได้ดีแค่ไหนในสนามจริง

ประเด็นน่าสนใจ ก่อนเข้าทางตรงสุดท้าย

ประเด็นน่าสนใจ ก่อนเข้าทางตรงสุดท้าย

ช่วงนี้ถือว่าแฟนบอลสโมสรยุโรปอาจจะได้พักสักหน่อยเนื่องจากว่าเป็นโปรแกรมทีมชาติมาคั่นกลาง ก็เลยทำให้พอได้พักผ่อนกันบ้าง แต่พอกลับมารอบนี้ดูเหมือนจะเตะกันรวดเดียวแบบรีบจบกันเลยเพื่อให้ ทีมชาติได้เตรียมตัวเข้าสู่ศึกยูโรกลางปีนี้ด้วย เรามาดูกันว่าฝั่งพรีเมียร์ลีคมีประเด็นอะไรน่าสนใจในช่วง 10 เกมสุดท้ายกันบ้าง

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะแชมป์เมื่อไร

เป็นไปตามคาดอย่างที่หลายคนคิดไว้ เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ขึ้นนำแล้ว เป็นการนำแบบ “ม้วนเดียวจบ” พวกเค้ารักษาคุณภาพ มาตรฐานไว้ได้แบบไม่มีตกเลย นั่นทำให้มีแต่คำถามว่าเป็นแชมป์เมื่อไรเท่านั้นเอง หากนับตามโปรแกรม พวกเค้าเล่นอีก 5 เกมถ้าชนะหมดก็ได้แชมป์ไปเลย แต่ทีนี้น่าสนใจตรงว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้จะได้แชมป์ก่อนหน้านั้นหรือไม่ หรือ จะยืดไปกว่านั้นจากฝีมือของ เชลซี และ เลสเตอร์ที่จะยืดไปได้อีกหน่อย

ใครจะตกชั้น

ตัดภาพไปที่โซนตกชั้นกันบ้าง มาถึงตรงนี้ มีคนถูกเตะลงไปแล้วอย่างน้อย สองทีมคือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ความน่าสนใจอยู่ที่ตั๋วใบสุดท้ายที่ไม่มีใครอยากได้นี่แหละ ฟูแล่ม, นิวคาสเซิ่ล, ไบร์ทตัน และเบิร์นลี่ย์ หนึ่งในสี่ทีมนี้จะเป็นผู้โชคร้าย ว่าแต่ใครกัน ส่วนตัวนิวคาสเซิ่ล มีสิทธิ์สูงที่สุด

โควตา UCL

ตัดภาพมาที่ด้านบนของตาราง สิ่งที่จะทำให้เราได้ลุ้นกันสนุกเลยก็คือ ใครจะได้ไป UCL ในซีซั่นหน้า จากอีก 3 ใบที่เหลือ แต่มีผู้แย่งชิงกันอย่างน้อย 7 ทีม ทีเดียว น่าสนใจตรงที่ว่า จะมีคนสมหวัง 3 คน และมีคนผิดหวัง 4 คน ใครจะเป็นฝ่ายสมหวังและผิดหวัง ต้องมาคอยดูกันต่อไป แม้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , เลสเตอร์ , เชลซี จะได้เปรียบอยู่พอสมควร แต่อย่าประมาท เวสต์แฮม , สเปอร์ส และ ลิเวอร์พูล พวกเค้าพร้อมจะกลับมาแย่งโควตานี้ได้เสมอ หากใครเล่นผิดพลาดสัก 1-3 เกม อาจจะโดนปาดจนน้ำตาตกในได้เหมือนกัน